ดูรายการคำศัพท์ด้านการเงินที่เกี่ยวกับการเทรดและตลาดของเรา นักเทรดทุกคน ตั้งแต่มือใหม่ด้านการเทรดไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์นานหลายทศวรรษ จำเป็นต้องเข้าใจคำศัพท์จำนวนมากอย่างชัดเจน
“ยอดคงเหลือในบัญชี” ของนักเทรดคือมูลค่ารวมของบัญชี รวมถึงผลกำไรและขาดทุน เงินที่ฝากและเงินที่ถอนทั้งหมด
ฉันจะตรวจสอบยอดคงเหลือในบัญชีได้อย่างไร
ตามที่ได้กล่าวไว้ ยอดคงเหลือในบัญชีคือยอดรวมของสถานะที่ชำระราคาซื้อขายแล้ว ผลกำไรและขาดทุน เงินที่ฝากและเงินที่ถอน แต่ยอดคงเหลือนี้ก็ไม่ได้รวมผลกำไรหรือขาดทุนจากสถานะที่เปิดใดๆ ทั้งสิ้น หากสถานะยังคงเปิดอยู่ ยอดคงเหลือก็อาจเปลี่ยนแแปลงได้ ขึ้นอยู่กับผลกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เรียบร้อยจนกว่าจะมีการปิดสถานะ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ตรวจสอบยอดคงเหลือของบัญชีเทรดอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากมีการเปิดและปิดสถานะใหม่อย่างเป็นประจำ
การซื้อกิจการเป็นธุรกรรมของธุรกิจที่บริษัทซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์ของอีกบริษัท ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด อาจจะมีการดำเนินการดังกล่าวเพื่อพยายามควบคุมและขยายตลาดของบริษัทเป้าหมาย และทำให้ได้รับหรืออย่างน้อยก็สงวนทรัพยากรได้ด้วย
มี “การจับคู่ธุรกิจด้วยกัน” สามรูปแบบหลักด้วยกัน:
• การซื้อกิจการ - หากธุรกิจทั้งสองแห่งยังคงประกอบกิจการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
• การควบรวมกิจการ – มีแค่ธุรกิจเพียงธุรกิจเดียวที่ยังประกอบกิจการอยู่ ส่วนอีกแห่งถูกควบรวมแล้ว
• การควบรวมกิจการที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน/การควบบริษัท – เมื่อธุรกิจสองแห่งควบเข้ากันเกิดเป็นบริษัทใหม่
ในขั้นตอนการซื้อกิจการ บริษัทที่ซื้อกิจการจะซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์ของบริษัทเป้าหมาย ซึ่งทำให้บริษัทที่ซื้อกิจการมีอำนาจในการใช้สินทรัพย์ของบริษัทเป้าหมายเสมือนเป็นของตนเอง
เหตุใดบริษัทจึงซื้อกิจการ
บริษัทซื้อกิจการเนื่องจากมีประโยชน์มากมาย เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงลดลง การเติบโตและอิทธิพลในตลาด นอกจากนี้ ขั้นตอนนี้ยังมีความท้าทายและอุปสรรคบางอย่าง รวมถึงวัฒนธรรมที่ขัดแย้งกัน ความซ้ำซ้อน วัตถุประสงค์ที่ขัดแย้งกัน และธุรกิจที่ไม่เข้ากัน
การซื้อกิจการสี่ประเภทมีอะไรบ้าง
การซื้อกิจการมีสี่ประเภทดังนี้
1. การซื้อกิจการแบบแนวนอนเกิดขึ้นเมื่อบริษัทซื้อกิจการอีกบริษัทในธุรกิจเดียวกัน
2. การซื้อกิจการแบบแนวตั้งหมายถึงกรณีที่บริษัทซื้อกิจการอีกบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน แต่ฐานะในตลาดหรือซัพพลายเชนไม่เหมือนกัน
3. การซื้อกิจการซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันเกิดขึ้นเมื่อบริษัทซื้อบริษัทเป้าหมายที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกันหรือคนละส่วนกัน
4. การซื้อกิจการในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน แต่มีสายธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ต่างกัน เกิดขึ้นเมื่อบริษัทที่ซื้อกิจการและบริษัทเป้าหมายทำการตลาดผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่เหมือนกัน แต่จำหน่ายให้ลูกค้าเดียวกัน
การเทรดโดยอัตโนมัติเรียกกันว่าการเทรดโดยใช้อัลกอริทึม (มีการย่อคำว่าอัลกอริทึมเป็น Algo) – หมายถึงการใช้อัลกอริทึมเพื่อจัดทำคำสั่งซื้อขาย โดยใช้คำสั่งการเทรดที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ ผ่านเครื่องมือคณิตศาสตร์ที่ทันสมัย ตัวแปรในการเทรดต่างๆ เช่น ราคา ระยะเวลาและปริมาณล้วนเป็นปัจจัยของการเทรดโดยใช้อัลกอริทึม
การเทรดโดยใช้อัลกอริทึมเป็นอย่างไร
สามารถเทรดโดยใช้อัลกอริทึมด้วยการใช้ประโยชน์จากขั้นตอนการตัดสินใจที่รวดเร็ว เนื่องจากมีการลดการแทรกแซงจากมนุษย์ลง ด้วยเหตุนี้ การเทรดโดยใช้อัลกอริทึม จึงทำให้ระบบการเทรดโดยอัตโนมัติคว้าโอกาสต่างๆ ในตลาดได้ก่อนที่นักเทรดตัวเป็นๆ จะสามารถสังเกตเห็นเสียอีก วิธีนี้จะใช้ขั้นตอนและอัลกอริทึมที่เป็นไปตามกฎต่างๆ เพื่อนำกลยุทธ์ในการเทรดมาใช้ ส่วนใหญ่แล้ว จะมีการเทรดโดยใช้อัลกอริทึมในหมู่นักลงทุนและนักเทรดสถาบันขนาดใหญ่
Alpha เป็นตัววัดสมรรถนะของการเทรดหรือ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) ซึ่งวัดจากดัชนีหรือเกณฑ์มาตรฐานตลาด ที่ถือว่าสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวในตลาดทั้งหมด ผลตอบแทนเชิงบวกหรือลบของการเทรดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทนของดัชนีเกณฑ์มาตรฐานคือ Alpha
Alpha บอกอะไรให้คุณทราบ
นักเทรดใช้ Alpha (α) เพื่ออธิบายความสามารถของกลยุทธ์ในการมีผลงานที่ดีกว่ามาตรฐานในตลาด ดังนั้น จึงมักจะเรียกกันว่า “ผลตอบแทนส่วนเกิน” หรือ “อัตราผลตอบแทนที่ผิดปกติ” คำศัพท์เหล่านี้หมายถึงแนวคิดที่ว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงเป็นผลตอบแทนที่ได้รับ ที่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงสมรรถนะของตลาด
Alpha และ Beta ในการเทรดหมายถึงอะไร
มักจะมีการใช้ Alpha ควบคู่กับ Beta (ตัวอักษรกรีก β) ซึ่งวัดความผันผวนหรือความเสี่ยงโดยรวมแบบกว้างๆ ของตลาด หรือที่เรียกกันว่าความเสี่ยงในตลาดอย่างเป็นระบบ
ในวงการการเงิน มีการใช้ Alpha เพื่อเป็นตัววัดสมรรถนะ โดยแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ นักเทรดหรือผู้จัดการพอร์ตการลงทุนได้มีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง Alpha ที่มักจะถือกันว่าเป็นผลตอบแทนเชิงรุกจากการลงทุน เป็นการวัดสมรรถนะของการลงทุน โดยเทียบกับดัชนีหรือเกณฑ์มาตรฐานตลาด ที่ถือว่าสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวในตลาดทั้งหมด
ในวงการForex Ask คือราคาที่สามารถซื้อสกุลเงินหลักของคู่สกุลเงินที่เลือก ในวงการการเทรด ราคาเสนอขายหรือราคาที่เสนอคือราคาที่ต่ำที่สุดที่ผู้ขายเต็มใจจะขายหุ้น
มีการใช้ Ask ควบคู่กับราคาเสนอซื้อ ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อเสนอ และตามคำนิยามแล้ว เป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ผู้ขายเรียกร้อง ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อของผู้ซื้อและราคาขายของผู้ขายเรียกว่า “สเปรด”
สเปรดระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายคืออะไร
ตราสารทางการเงินมีราคาสาธารณะหลัก 2 ราคาด้วยกัน: ราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย หากนักเทรดประสงค์ที่จะซื้อ (สถานะ Buy) พวกเขาก็จะชำระราคาเสนอขาย หากนักเทรดเปิดสถานะ Sell พวกเขาก็ได้รับข้อเสนอให้ขาย ที่ราคาเสนอซื้อของว่าที่ผู้ซื้อ เห็นได้ชัดว่าราคาเสนอซื้อมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าราคาเสนอขาย ส่วนต่างของราคาเรียกว่าสเปรดระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย
ธนาคารอังกฤษเป็นธนาคารกลางของสหราชอาณาจักร มีหน้าที่สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และสามารถทำให้ราคาเสถียรเอง ธนาคารอังกฤษได้รับอนุญาตให้ออกธนบัตรในสหราชอาณาจักร โดยผูกขาดในการออกธนบัตรในอังกฤษและเวลส์ นอกจากนี้ ยังควบคุมดูแลการออกธนบัตรของธนาคารพาณิชย์ในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือด้วย คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารมีหน้าที่ในการจัดการนโยบายด้านการเงิน
ธนาคารอังกฤษให้บริการประเภทใดบ้าง
นอกจากการออกธนบัตรแล้ว ธนาคารอังกฤษยังให้บริการดังต่อไปนี้:
• ติดตามดูธนาคารและระบบการเงิน
• กำหนด อัตราดอกเบี้ย
• ดูแลรักษาที่เก็บทองคำ ของสหราชอาณาจักร
สำหรับการเทรดForex คำว่า “สกุลเงินหลัก” หมายถึงสกุลเงินแรกของคู่สกุลเงินและเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขาย สกุลเงินที่สองในคู่สกุลเงินคือสกุลเงินรอง เช่น: สำหรับ EUR/USD สกุลเงินยูโรคือสกุลเงินหลัก และคุณสามารถซื้อเงิน 1 ยูโรด้วยการจ่าย 1.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
อัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงินแสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องใช้สกุลเงินรองมากเท่าไหร่เพื่อซื้อสกุลเงินหลักที่ระบุหน่วยเดียว เช่น หากEUR/USD = 2.15 หมายความว่า 1 ยูโรเท่ากับ 2.15 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สกุลเงินหลักกับสกุลเงินท้องถิ่นคืออะไร
ระหว่างดูหรือได้รับใบเสนอราคาโดยตรง สกุลเงินหลัก= สกุลเงินต่างประเทศ ในทำนองเดียวกัน สกุลเงินท้องถิ่นในคู่สกุลเงินคือสกุลเงินรอง
Basis point (ตัวย่อ BP bps หรือ “bip”) วัดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยของ ตราสารทางการเงิน นอกจากนี้ ยังใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของตราสารทางการเงินเป็นร้อยละหรืออัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนี Basis Point คลุมเครือน้อยกว่าร้อยละ เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงตัวเลขที่แน่นอนที่กำหนดไว้ แทนที่จะเป็นอัตราส่วน
เหตุใดเราจึงต้องใช้ Basis Point
ในตลาดตราสารหนี้ มีการใช้ Basis Point เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่นักลงทุนจะได้รับ นอกจากนี้ ยังใช้ระบุถึงต้นทุนของกองทุนรวมและกองทุนที่มีการแลกเปลี่ยน-เทรด
คำว่าตลาดหมีหมายถึงความเชื่อของตลาดหรือความเชื่อหรือมุมมองของนักเทรดว่าตลาด สินทรัพย์หรือตราสารทางการเงินกำลังจะอยู่ในช่วงขาลง
ส่วนใหญ่แล้ว จะถือว่าเข้าสู่ช่วงตลาดหมีเมื่อราคาตกลงอย่างยาวนานและดัชนีลดลงจากจุดที่สูงที่สุดล่าสุดอย่างน้อย 20% ตลาดหมีเกิดขึ้นได้ทั้งกับหุ้นแต่ละหุ้น และทั้งตลาด หากดัชนีหรือราคาของสินทรัพย์ปรับตัวลงมากกว่า 20% ก็ถือเป็นเกณฑ์หรือจุดเข้าเทรดในตลาดหมี แต่ถึงกระนั้น ดัชนีหรือราคาในตลาดหมีก็ยังคงสามารถลดลงได้ต่ำกว่านั้นมากอย่างช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ตลาดหมีแสดงให้เห็นถึงการมองโลกในแง่ร้ายของนักวิเคราะห์ นักเทรดและนักลงทุน โดยทุกคนต่างมั่นใจในตลาดหรือสินทรัพย์น้อย ในช่วงตลาดหมี พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจฟังข่าวดีและยังคงขายอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นการกดราคาให้ต่ำลงไปอีก จำเป็นต้องตระหนักว่าในขณะที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาจจะรู้สึกว่าหุ้นเข้าสู่ภาวะตลาดหมี แต่อารมณ์ดังกล่าวก็อาจจะไม่กระทบต่อทั้งตลาดก็ได้ แต่ถึงอย่างไร หากเข้าสู่ช่วงตลาดหมี ราคาหุ้นแทบทุกหุ้นในตลาดก็จะเริ่มดิ่งลง แม้ว่าหุ้นแต่ละหุ้นจะมีข่าวดีและผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้นก็ตาม
ตลาดหมีกับตลาดกระทิงต่างกันอย่างไร
ตลาดหมีกับตลาดกระทิงต่างกันหลายประการ ความแตกต่างหลักอย่างหนึ่งคือทัศนคติหรือความเชื่อของตลาดหรือนักเทรดเกี่ยวกับตลาดหุ้นในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง ตลาดกระทิงหมายถึงสถานการณ์ในตลาดที่ราคาหุ้นจำนวนมากสูงขึ้นหรือคาดว่าจะสูงขึ้น โดยทั่วไปแล้ว เกณฑ์จะอยู่ที่ราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น 20% หลังจากตกลง 20% สองครั้ง คลิกที่นี่เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดกระทิง
ราคาเสนอซื้อคือราคาที่สูงที่สุดที่นักเทรดยินดีจ่ายค่าหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ
ในทางกลับกัน ผู้ขายก็ได้กำหนดราคาที่ต่ำที่สุดที่ยอมรับได้ ซึ่งเรียกว่า “ราคาเสนอขาย” ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อของผู้ซื้อและราคาเสนอขายของผู้ขายเรียกว่าสเปรด ยิ่งสเปรดน้อยเท่าไหร่ สินทรัพย์ก็มี สภาพคล่อง มากขึ้นเท่านั้น
ราคาเสนอซื้อกับข้อเสนอในด้านการเทรดต่างกันอย่างไร
ราคาเสนอซื้อกับข้อเสนอในวงการการเทรดต่างกันหลายประการ ข้อแตกต่างอย่างหนึ่งที่สำคัญคือราคาเสนอซื้อแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อเต็มใจที่จะซื้อในราคาที่ต่ำกว่าที่ผู้ขายได้ตั้งไว้ ส่วนข้อเสนอหมายถึงผู้ซื้อจะซื้อในราคาที่สูงกว่าที่ผู้ขายตั้งไว้ในตอนแรก
หุ้นบลูชิป คือหุ้น ของบริษัทขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงและสภาพการเงินที่ดีเป็นอย่างมาก บริษัทบลูชิปส่วนใหญ่เป็นบริษัทชื่อดัง
หุ้นทั่วไปกับหุ้นบลูชิปต่างกันอย่างไร
อันที่จริงแล้ว ความแตกต่างหลักอย่างหนึ่งระหว่างหุ้นทั่วไปกับหุ้นบลูชิปคือบริษัทบลูชิปกับหุ้นของบริษัทดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากน้อยแค่ไหน และมุมมองความมั่นคงในสายตาของคนทั่วไป หุ้นบลูชิปอยู่ในดัชนีหลักๆ เช่น S&P 500, the Nasdaq 100 หรือ the Dow Jones Industrial Average
หุ้นบลูชิปอาจจะไม่ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดเหมือนกับหุ้นที่คนเรียกกันว่า “หุ้นโมเมนตัม” แต่ก็มี ความเคลื่อนไหวในทุกวัน หุ้นบางหุ้นเหล่านี้ถือเป็น “หุ้นถาวร” ของพอร์ตการลงทุนมากมาย นอกจากนี้ ยังมีข้อดีบางอย่างด้วย เช่น: ความเสถียร ฟื้นตัวได้เร็ว สภาพคล่องสูง นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และมีเงินปันผลมากขึ้นด้วย
Bollinger Bands® เป็นตัวช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคที่เป็นประโยชน์ ดัชนีนี้จะช่วยให้นักเทรดทราบความเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น รวมถึงเวลาเข้าซื้อและขายที่อาจมีขึ้น
โดยปกติ ดัชนีชี้วัด Bollinger Bands จะประกอบด้วยแถบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (แถบตรงกลาง) รวมถึงแถบด้านบนและด้านล่าง ที่อยู่ด้านบนและด้านล่างแถบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของสินทรัพย์ที่ตรวจสอบ ระหว่างเปรียบเทียบสถานะของหุ้นกับแถบเหล่านี้ นักเทรดก็อาจจะสามารถทราบได้ว่าราคาหุ้นสูงหรือต่ำ ดัชนีชี้วัด Bollinger Bands เป็นดัชนีชี้วัดที่ดีและเหมาะกับการเทรดในวันเดียว
นอกจากนี้ ความกว้างของแถบนี้ยังสามารถชี้วัดความผันผวนของหุ้นได้ด้วย แถบที่แคบกว่ามีความผันผวนน้อยกว่า ส่วนแถบที่กว้างกว่าจะมีความผันผวนสูงกว่า โดยปกติ ดัชนีชี้วัด Bollinger Bands จะมีแถบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยค่าเริ่มต้นของระยะเวลาจะอยู่ที่ 20 “ระยะเวลา” เหล่านี้อาจหมายถึงกรอบเวลาใดก็ได้ตั้งแต่ 5 นาทีไปจนถึงชั่วโมงหรือแม้กระทั่งวัน
ถึงแม้ว่านักเทรดทุกคนจะรู้จักว่ามีการเทรดคริปโตแบบออนไลน์ แต่พวกเขาอาจจะไม่ทราบว่ายังสามารถเทรดตลาดดั้งเดิม เช่น ตราสารหนี้ แบบออนไลน์ได้เช่นกัน แล้วตราสารหนี้คืออะไรและจะเทรดได้ที่ไหน
ตราสารหนี้เป็นรูปแบบการซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงินอย่างหนึ่ง นักเทรดจะเปิดสถานะ โดยใช้ราคาของตราสารอ้างอิงและไม่ซื้อตราสารเอง ดังนั้น พวกเขาจึงซื้อ CFD ของตราสารหนี้ หรือสัญญาการซื้อขายส่วนต่างของตราสารดังกล่าว หากมีการคาดการณ์ว่าCFD ของตราสารหนี้ จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น นักเทรดก็สามารถเปิดสถานะซื้อได้ แน่นอนว่านักเทรดจะดำเนินการตรงกันข้ามหากมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าของพันธบัตรจะลดลง นักเทรดก็สามารถเปิดสถานะขาย
ตราสารหนี้เป็นเงินกู้ยืมที่นักเทรด (ตอนนี้เป็นผู้ถือตราสารหนี้) จะมอบให้แก่ผู้ออกตราสารหนี้ รัฐบาล บริษัทหรือองค์กรที่ต้องการระดมทุนสามารถออกตราสารหนี้ได้ หากนักเทรดซื้อตราสารหนี้ พวกเขาก็ให้ผู้ออกตราสารหนี้กู้ยืมเงินเพื่อแลกกับตราสารหนี้ จากนั้น ผู้ออกตราสารหนี้ก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้น เมื่อครบกำหนดให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้
ตลาดกระทิงหมายถึงสถานการณ์ในตลาดที่ราคาหุ้นจำนวนมากสูงขึ้นหรือคาดว่าจะสูงขึ้น ส่วนใหญ่แล้ว คำว่าตลาดกระทิงหมายถึงตลาดหุ้นโดยทั่วไป แต่ก็ใช้ได้กับสินทรัพย์ที่มีการเทรดที่เกี่ยวข้อง เช่น ตราสารหนี้ สกุลเงินและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยทั่วไปแล้ว เกณฑ์จะอยู่ที่ราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น 20% หลังจากตกลง 20% สองครั้ง
นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้ว คำว่า “กระทิง” ยังหมายถึงในกรณีที่นักเทรดสันนิษฐานว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้น จึงซื้อหลักทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเจตนาจะขายต่อเพื่อทำกำไรในภายหลัง ในช่วงตลาดกระทิง นักเทรดอาจจะใช้สถานะหลายรูปแบบเพื่อทำกำไรให้ดีที่สุด รวมถึงการซื้อและถือครองและการกลับตัวเพิ่มมากขึ้น
นักเทรดจะมีความมั่นใจ คิดบวกและมีความหวังเมื่อเข้าสู่ช่วงตลาดกระทิงอย่างแพร่หลาย พวกเขายังคาดหวังให้ผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอีกด้วยซ้ำ
ช่วงตลาดกระทิงจะเกิดขึ้นนานเท่าใด
ระยะเวลาของตลาดกระทิงอยู่ที่สองสามปี หรืออาจจะมากกว่านั้นในบางกรณี เราจำเป็นต้องตระหนักว่าผลงานของหุ้นหรือตลาดที่ผ่านมาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผลงานในปัจจุบันหรืออนาคตแต่อย่างใด
“สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง” หรือCFD เป็นตราสารที่ทำให้นักเทรดสามารถซื้อการคาดการณ์เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ (ขึ้นหรือลง) โดยไม่จำเป็นต้องถือครองหุ้น ดังนั้น การเทรดสัญญาการซื้อขายส่วนต่างยังมี คู่สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หุ้น ฯลฯ
การเทรด CFD จะทำให้ได้ส่วนต่างของราคาของสินทรัพย์ระหว่างจุดที่มีการเปิดสัญญาจนถึงจุดที่มีการปิดสัญญา การเทรด CFD อาจทำให้นักเทรดได้รับกำไรหรือขาดทุนก็ได้ โดยจะขึ้นอยู่กับว่าการพยากรณ์ของนักเทรดสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหรือไม่
CFD ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์แบบมีเลเวอเรจ ทำให้นักเทรดถือครองสถานะการเทรดที่ทรงพลัง โดยมีเงินทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องทราบว่า CFD เป็นดาบสองคม ที่ทำให้คุณได้รับโอกาสทั้งในการทำกำไรและขาดทุนเพิ่มมากขึ้น
สินค้าโภคภัณฑ์คือ วัตถุดิบ เช่น น้ำมัน ก๊าซ ทองคำหรือข้าวสาลี สามารถจำแนกประเภทสินค้าโภคภัณฑ์ออกเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติหรือสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตร
สินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรคืออะไร
โดยปกติแล้วสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรหมายถึงวัตถุดิบที่ได้จากการเพาะปลูก แทนที่จะมาจากการขุด เช่น กาแฟ ถั่วหรือน้ำตาล
สินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติคืออะไร
ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติจะต้องสกัด เช่นก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันดิบ
สินค้าโภคภัณฑ์มักจะแลกเปลี่ยนกับสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทเดียวกันได้ และสามารถซื้อในตลาดซื้อขายทันทีโดยใช้เงินสดหรืออนุพันธ์ต่างๆ เช่น ฟิวเจอร์ส
ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI เป็นดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของราคาที่ผู้บริโภคชำระให้แก่ตะกร้าสินค้าและบริการอุปโภคบริโภคเมื่อเวลาผ่านไป ดัชนีมีในสหรัฐฯ และพื้นที่ต่างๆ และถือเป็นหนึ่งในเครื่งมือวัดอัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดที่นิยมที่สุดเครื่องมือหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการใช้ CPI เพื่อประมาณการอำนาจซื้อของสกุลเงินของประเทศ
มีการคำนวณ CPI อย่างไร
มีการคำนวณ CPI โดยการพิจารณาจากปัจจัยสำคัญๆ รวมถึงธุรกิจค้าปลีกและบริการ ตลอดจนตลาดที่พักอาศัยเพื่อเช่าของสหรัฐฯ (บัญชีที่พักอาศัยคิดเป็นประมาณ 30% ของ CPI) มีตัวแปรของ CPI มากมาย:
• ดัชนี CPI-U จะทบทวนพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคในเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นประมาณ 88% ของประชากรของสหรัฐฯ
• ดัชนี CPI-W สำหรับการคำนวณต้นทุนของสวัสดิการที่จ่ายให้แก่ “ผู้รับค่าจ้างและพนักงานประจำสำนักงานในเมือง” ซึ่งใช้คำนวณต้นทุนของสวัสดิการที่จ่ายผ่านทางระบบประกันสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
• CPI ไม่รวมอาหารและพลังงาน – มีความผันผวนสูงมาก ดังนั้น จึงไม่นำมารวมในการคำนวณ CPI โดยรวม
เงินตราเข้ารหัสลับคือสกุลเงินดิจิทัลที่เทคโนโลยีวิทยาการเข้ารหัสลับแบบกระจายศูนย์รองรับ เงินตราเข้ารหัสลับไม่ได้อาศัยหน่วยงานราชการส่วนกลาง เช่น ธนาคารกลางหรือรัฐบาล อย่างเช่น สกุลเงินดั้งเดิม แต่จะมีการตรวจสอบธุรกรรมโดยใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องภายในเครือข่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย รวมถึงความเร็วและความโปร่งใสทั่วไป
มีการบันทึกการเป็นเจ้าของเงินตราเข้ารหัสลับในบันทึกข้อมูลดิจิทัล จากนั้น บันทึกข้อมูลจะใช้วิทยาการเข้ารหัสลับที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของบันทึกธุรกรรม ซึ่งจะช่วยควบคุมการสร้างสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้นภายในเครือข่ายและยืนยันการโอนกรรมสิทธิ์เหรียญ โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนมองว่าเงินตราเข้ารหัสลับเป็นประเภทสินทรัพย์ที่โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่จับต้องได้
ตัวอย่างของเงินตราเข้ารหัสลับมีอะไรบ้าง
ตัวอย่างของเงินตราเข้ารหัสลับที่ได้รับความนิยมได้แก่บิตคอยน์ (BTC) ไลท์คอยน์ (LTC) และ อีเธอเรียม (ETH)
การเทรด CFD ของเงินตราเข้ารหัสลับคืออะไร
การเทรด CFD ของเงินตราเข้ารหัสลับคือการใช้ CFD เพื่อเทรดคริปโต ซึ่งจะทำให้นักเทรดสามารถถือสถานะได้ไม่ว่าราคาเงินตราเข้ารหัสลับจะขึ้นหรือลง การเทรด CFD ของเงินตราเข้ารหัสลับจะเป็นการเปิดโอกาสในการเทรดเพิ่มเติม เนื่องจากจะทำให้นักเทรดสามารถซื้อขายสินทรัพย์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ
หากเป็นเรื่องของการเทรด Forex ค่าเงินแข็งหมายถึงกรณีที่สกุลเงินหนึ่งของคู่ Forex มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินในคู่เดียวกัน ดังนั้น สกุลเงินที่ “แข็งกว่า” ในปัจจุบันจึงจะมีราคาสูงกว่าสกุลเงินที่ “อ่อนกว่า” และสกุลเงินที่แข็งกว่าเดียวกันนี้ก็สามารถใช้ซื้อสกุลเงินที่อ่อนกว่ามากกว่าตอนที่จำหน่ายด้วย
ค่าเงินที่แข็งจะดีหรือไม่
ในขณะที่สกุลเงินหนึ่ง ในคู่สกุลเงินมีมูลค่ามากขึ้น (หรือลดลง) เนื่องจากมีความต้องการมากขึ้น (หรือไม่มีความต้องการ) หรือความต้องการของอีกสกุลเงิน) ได้ทำให้มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวลดลง ดังนั้น อุปทานของเงินสกุลดังกล่าวก็ลดลง (เมื่อมีความต้องการ) หรือมากขึ้น (เมื่อไม่ได้เป็นที่ต้องการ) ตามไปด้วย
มีหลายสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินแข็ง รวมถึงดุลการค้า การเก็งกำไรของสกุลเงินในคู่สกุลเงินดังกล่าวหรือประเด็นที่เกิดขึ้นในตลาดทุนต่างประเทศ นักเทรดอาจพยายามที่จะคาดการณ์ถึงค่าเงินแข็งด้วยการใช้ปฏิทินเศรษฐกิจ ปฏิทินนี้จะลงรายละเอียดประเด็นด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเป็นตัวกำหนดจุดแข็งและจุดอ่อนของเศรษฐกิจและสกุลเงินระดับโลกหรือท้องถิ่น
ปฏิทินเศรษฐกิจคือตารางวันที่ที่คาดว่าจะมีการเผยแพร่ข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งอาจกระทบต่อ ความผันผวนของตลาดการเงินระดับโลกหรือท้อองถิ่น รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน นักเทรดและทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านตลาดและการเงินจะใช้ปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อติดตามและเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดและเมื่อไหร่ก็ตาม
เนื่องจากผลกระทบของเหตุการณ์และประกาศด้านการเงินต่ออัตราการแลกเปลี่ยน ตลาด Forex จึงได้รับผลกระทบอย่างมากจากประกาศนโยบายงบประมาณและการเงิน ดังนั้น นักเทรดจึงใช้ปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับสถานะและการเทรด และเพื่อรับทราบถึงประเด็นที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพวกเขา
ความผันผวนของตลาดการเงินคืออะไร
ความผันผวนของตลาดการเงินคือระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาเทรดเมื่อเวลาผ่านไป นักเทรดหลายคนจะพิจารณาประวัติความผันผวนของหุ้น ซึ่งก็คือราคาที่ผันผวนในช่วงเวลาหนึ่ง ประวัติความผันผวนจะทำให้มีการพยากรณ์ถึงความผันผวนในอนาคตโดยปริยาย ทำให้คาดการณ์ถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
ฟิวเจอร์สเป็นสัญญาอนุพันธ์โดยเฉพาะ ที่มีการตกลงที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่กำหนด (สินค้าโภคภัณฑ์หรือหลักทรัพย์) ในวันที่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามราคาที่กำหนด ฟิวเจอร์สเป็นสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินที่กำหนดให้คู่สัญญาต้องซื้อหรือขายสินทรัพย์ในวันที่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามราคาที่กำหนด
สัญญาฟิวเจอร์สมีคู่สัญญาเป็นผู้ขายและผู้ซื้อ - ซึ่งจะต้องซื้อและรับสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ในทำนองเดียวกัน ผู้ขายสัญญาฟิวเจอร์สจะต้องส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงให้แก่ผู้ซื้อ
เป้าหมายของฟิวเจอร์สสำหรับการเทรดคือการทำให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากราคาของตราสารทางการเงินหรือสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดป้องกันการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงราคาที่ไม่พึงประสงค์
ตัวอย่างของฟิวเจอร์สมีอะไรบ้าง
มีฟิวเจอร์สและสัญญาฟิวเจอร์สหลายประเภทในตลาดการเทรดและตลาดการเงิน ตัวอย่างเพียงบางส่วนของฟิวเจอร์สที่สามารถเทรดได้มีดังต่อไปนี้: สินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น อาหารหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเชื้อเพลิง โลหะมีค่า พันธบัตรรัฐบาล สกุลเงิน ฯลฯ
สถานะเปิดในวงการการเทรดหมายถึงการเทรดที่สร้างหรือดำเนินการ แต่ยังไม่ได้ปิด โดยคำสั่งซื้อขายที่ตรงกันข้ามคือ “แบบเปิด” จะมีการเปิดสถานะจนกว่านักเทรดจะปิด จะมีการปิดการเทรดด้วยการดำเนินการที่ตรงกันข้าม เช่น การซื้อหรือขาย สถานะที่เปิดทำให้นักเทรดได้รับความเสี่ยงในตลาด เป็นโอกาสในการทำกำไรหรือขาดทุน ในขณะที่ราคาสินทรัพย์ผันผวน และเพื่อเป็นการบรรเทาความเสี่ยง จึงมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทั่วไป คุณจะต้องเปิดสถานะในหลายภาคส่วนและประเภทสินทรัพย์เพื่อกระจายและบริหารจัดการความเสี่ยง
ตามกฎแล้ว นักเทรดจะพิจารณาว่าสถานะที่เปิดเป็นการรับความเสี่ยงในตลาด จนกว่านักเทรดจะปิดสถานะ จะมีการเปิดสถานะดังกล่าวเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ได้ แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่านักเทรดต้องการเทรดแบบไหน
คุณควรปิดสถานะเมื่อใด
นักเทรดแบบจบภายในวันเดียวมักจะปิดสถานะทันทีมากกว่า พวกเขามักจะไม่เปิดสถานะจนกระทั่งหมดเวลาเทรด ตามคำนิยามแล้ว การมีพอร์ตการลงทุนที่มีความเคลื่อนไหวทำให้ต้องมีการเปิดสถานะมากมาย ความเสี่ยงและประโยชน์ขึ้นอยู่กับขนาดและสถานะ เมื่อเทียบกับตลาด ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะขาดทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นแนวคิดที่คนที่ทำธุรกิจจะรู้จักกันดี แล้วอัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะขาดทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับในวงการการเทรดคืออะไรและใช้แนวทางและแนวปฏิบัติเดียวกันกับโลกธุรกิจหรือไม่
ในวงการการเทรด อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะขาดทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับจะวัดกำไรของการเทรด สินทรัพย์หรือสถานะที่คาดว่าจะได้รับ โดยเทียบกับความเสี่ยงของการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยปกติ จะเป็นตัวเลขของความเสี่ยงที่ประเมิน คั่นด้วยเครื่องหมาย ':’ เพื่อแยกจากตัวเลขของรางวัลที่อาจจะได้รับ
อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะขาดทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับที่ดีหมายถึงอะไร
อัตราส่วนที่ยอมรับได้แตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย คุณสามารถคำนวณได้ด้วยการนำ “รางวัล” (ผลลัพธ์สุดท้ายหรือผลกำไรสุทธิ) ไปหารด้วยราคาของความเสี่ยงสูงสุดของคุณ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าหากความเสี่ยงเท่ากับหรือมากกว่ารางวัล ก็จะไม่คุ้มที่จะเสี่ยงกับสถานะการเทรด แนวคิดที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปไม่แพ้กันก็คือต้องมีสัดส่วนสูงกว่า 1:3 เป็นอย่างน้อยเพื่อให้สมเหตุสมผลกับความเสี่ยง ซึ่งก็คืออัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะขาดทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับที่ดี
จากคำนิยามนี้ อัตราส่วนนี้จะวัดปริมาณความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินที่อาจจะขาดทุน หากการเทรดหรือการดำเนินการใดๆ ไม่สำเร็จ เมื่อเทียบกับยอดเงิน (ที่เป็นกำไร) ที่ได้รับ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน
นักเทรดจะใช้อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะขาดทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับเพื่อเป็นหนึ่งในวิธีหลักที่ใช้วัดความเป็นไปได้หรือความคุ้มค่าของการลงทุน วิธีหนึ่งในการจำกัดความเสี่ยงคือการจัดทำคำสั่ง Stop Loss ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการขายหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยอัตโนมัติเมื่อมีมูลค่าถึงที่กำหนด ซึ่งทำให้นักเทรดสามารถจำกัดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
หุ้นคือ การแบ่งมูลค่ารวมของบริษัท หุ้นแต่ละหุ้นแสดงให้เห็นถึงหน่วยความเป็นเจ้าของในบริษัทดังกล่าว และรวมถึงมูลค่าของหุ้นนั้นๆ ด้วย หากบริษัทตัดสินใจที่จะขายหุ้นเพื่อระดมทุน ก็จะเรียกว่าการหาผู้ร่วมลงทุนในรูปแบบหุ้นส่วน
เจ้าของหุ้นเรียกว่าผู้ถือหุ้น มูลค่าต่อเนื่องของหุ้นเมื่อมีการเปิดตัวสู่ตลาดแล้วก็คือมูลค่าในการเทรดในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่ามูลค่าเดิมก็ได้ หุ้นจะมีมูลค่าเท่ากับราคาที่มีการเทรดในปัจจุบัน โดยปกติแล้ว ธุรกรรมเกี่ยวกับหุ้นที่แท้จริงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายจะเป็นดัชนีชี้วัดตลาดที่ดีที่สุดว่าหุ้นมี “มูลค่าที่แท้จริง” เท่าไหร่ในเวลาดังกล่าว ความแตกต่างระหว่างราคาปัจจุบันและราคาเปิดจะแสดงให้เห็นถึงผลกำไรหรือขาดทุนต่อนักลงทุนที่ซื้อหุ้น
มีหุ้นหลายประเภทในวงการการเทรด รวมถึง หุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมและชนิดไม่สะสม หุ้นบุริมสิทธิชนิดร่วมรับและชนิดไม่ร่วมรับ หุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพได้และหุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพไม่ได้ หุ้นบุริมสิทธิชนิดไถ่ถอนได้และหุ้นบุริมสิทธิชนิดไถ่ถอนไม่ได้
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ CFD เพื่อซื้อขายหุ้นได้ด้วย ซึ่งจะทำให้นักเทรดสามารถถือสถานะแบบมีเลเวอเรจได้ไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง การเทรดหุ้นประเภทต่างๆ จะเป็นการเปิดโอกาสในการเทรดเพิ่มเติมด้วยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของที่จับต้องได้
การขายชอร์ตหมายถึงกลยุทธ์การลงทุนหรือการเทรดที่นักลงทุนหรือนักเทรดจะเก็งกำไรจากราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ลดลง ผู้ขายจะเปิดสถานะชอร์ตด้วยการยืมหุ้นผ่านทางนายหน้า/ดีลเลอร์ (ซึ่งก็คือแพลตฟอร์มการเทรด) ผลลัพธ์ที่พวกเขาเจตนาคือการเก็งกำไรหรือความหวังที่จะซื้อกลับคืนมาเพื่อทำกำไร เมื่อราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ดิ่งลง หากต้องการเปิดสถานะขายชอร์ต จะต้องยืมหุ้นเนื่องจากนักเทรดไม่สามารถขายหุ้นที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ
หากนักเทรดต้องการปิดสถานะขายชอร์ต ก็จะซื้อหุ้นกลับมาในตลาดในราคาที่ต่ำกว่าที่ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์ จากนั้น พวกเขาก็จะส่งคืนสินทรัพย์ไปให้นายหน้า (ซึ่งก็คือผู้ให้ยืม) นักเทรดจะต้องรวมดอกเบี้ยที่นายหน้าเรียกเก็บหรือค่าคอมมิชชันสำหรับการเทรดด้วย
การขายชอร์ตเป็นความคิดที่ดีหรือไม่
จุดประสงค์ของอภิธานคำศัพท์นี้คือการให้ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ด้านการเทรดสำคัญทั่วไปเบื้องต้น ดังนั้น เราจึงไม่สามารถตอบคำถามที่ว่าการขายชอร์ตเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ได้ เราสามารถอธิบายกรณีการใช้งานที่แท้จริงของการขายชอร์ตของนักเทรดอย่างต่อเนื่องเพิ่มเติม โดยไม่ต้องกล่าวถึงคำแนะนำด้านการเทรดที่แท้จริง
การขายชอร์ตมีประโยชน์อะไร
การเก็งกำไรและการป้องกันความเสี่ยงถือเป็นสาเหตุทั่วไปในการขายชอร์ต นักเก็งกำไรจะเดิมพันว่าราคาสินทรัพย์จะลดลงในอนาคต แต่ถ้าพวกเขาคิดผิด ก็จะต้องซื้อหุ้นกลับคืนมาในราคาที่สูงกว่า ซึ่งจะทำให้พวกเขาขาดทุน ดังนั้น โดยปกติแล้ว จึงมีการขายชอร์ตภายในระยะเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ ยังเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงที่นักเทรดและนักลงทุนที่มีประสบการณ์เท่านั้นที่ควรใช้
คำว่าสเปรดในวงการการเทรดหมายถึงส่วนต่างระหว่างราคาที่สูงที่สุดที่จะต้องชำระสำหรับสินทรัพย์ใดๆ โดยเฉพาะกับราคาที่ต่ำที่สุดที่ผู้ถือสินทรัพย์ปัจจุบันเต็มใจที่จะขาย สินทรัพย์และตลาดต่างๆ จะทำให้ได้สเปรดที่ไม่เหมือนกัน เช่น ตลาด Forex ที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีความเคลื่อนไหวภายในช่วง “ส่วนต่าง” นี้มาก มิฉะนั้น สเปรดก็จะน้อย
ในวงการการเทรด สเปรดเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายสำคัญสำหรับการเทรดแบบออนไลน์ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งสเปรดแคบมากเท่าไหร่ นักเทรดก็ยิ่งได้รับประโยชน์จากการเทรดมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ สเปรดยังเป็นค่าใช้จ่ายโดยปริยายสำหรับนักเทรดในการเทรดในภายหลัง เนื่องจากนักเทรดสินทรัพย์ที่ซื้อโดยใช้เลเวอเรจจะต้องเพิ่มราคาให้เกินกว่าระดับของสเปรด แทนที่จะมากกว่าราคาเริ่มต้น จึงจะสามารถทำกำไรได้
สเปรดมีความสำคัญอย่างไร
สเปรดสำคัญ และเป็นกระทั่งข้อมูลชิ้นสำคัญที่จะต้องทราบระหว่างวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายด้านการเทรด สเปรดของตราสารเป็นตัวเลขที่เป็นตัวแปรและส่งผลกระทบต่อมูลค่าการเทรดโดยตรง ปัจจัยมากมายที่มีอิทธิพลต่อสเปรดในการเทรด:
• สภาพคล่อง สามารถซื้อขายสินทรัพย์ได้ง่ายดายแค่ไหน
• ปริมาณ ปริมาณของสินทรัพย์ที่เทรดทุกวัน
• ความผันผวน มีการเปลี่ยนแปลงราคาตลาดในช่วงเวลาหนึ่งมากน้อยแค่ไหน
การเทรดหุ้นคือการซื้อขายหุ้น หรือกรรมสิทธิ์ในบริษัทมหาชน โดยมีเป้าหมายในการทำกำไร หากราคาหุ้นขึ้น หรือการมีรายได้จากเงินปันผล นักเทรดหุ้นจะซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ จากนั้น ก็จะใช้สารพัดกลยุทธ์และเทคนิคเพื่อตัดสินใจว่าจะเทรดและเลิกเทรดเมื่อใด การเทรดหุ้นเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมรูปแบบหนึ่ง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยง อีกทั้งยังไม่รับประกันว่าจะทำกำไรด้วย คุณควรศึกษาข้อมูลตลาดและหุ้นแต่ละหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจเทรด
หุ้นต่างจากหลักทรัพย์อื่นๆ อย่างไร
หุ้นหรือที่เรียกว่าหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์ที่แสดงถึงความเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัท ส่วนหลักทรัพย์อื่นๆ เป็นการอ้างสิทธิ์ในสินทรัพย์อ้างอิง หลักทรัพย์ประเภทอื่นรวมถึงพันธบัตร (ตราสารหนี้) ออปชั่นและตราสารอนุพันธ์
ฉันจะเริ่มเทรดหุ้นได้อย่างไร
คุณสามารถเทรดหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ แพลตฟอร์มต่างๆ อย่างเช่น markets.com ทำให้คุณสามารถเทรด CFD หุ้นและหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อให้คุณเริ่มรวบรวมและสัมผัสผลลัพธ์จากการเทรดของคุณเองได้!
ค่าคอมมิชชันสำหรับการเทรด เป็นค่าบริการที่ชำระให้แก่นายหน้าสำหรับบริการอำนวยความสะดวกหรือดำเนินการเทรดให้เรียบร้อย
ค่าคอมมิชชันสำหรับการเทรดเป็นอย่างไร
ค่าคอมมิชชันสำหรับการเทรด อาจอยู่ในรูปแบบของค่าธรรมเนียมคงที่หรือเป็นร้อยละของรายได้ กำไรขั้นต้นหรือกำไรที่ได้จากการเทรด ที่ markets.com เราไม่เรียกเก็บค่าค่าคอมมิชชันสำหรับการเทรดจากการเทรดหรือสถานะใดๆ
ความผันผวนของตลาดคือ
ระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาเทรดเมื่อเวลาผ่านไป นักเทรดหลายคนจะพิจารณาประวัติความผันผวนของหุ้น ซึ่งก็คือราคาที่ผันผวนในช่วงเวลาหนึ่ง ประวัติความผันผวนจะทำให้มีการพยากรณ์ถึงความผันผวนในอนาคตโดยปริยาย ทำให้คาดการณ์ถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
นักเทรดจะคำนวณความผันผวนของตลาดโดยการวัดการเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนรายปีในช่วงเวลาหนึ่ง ผลลัพธ์ก็คือช่วงราคาของหลักทรัพย์ที่อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
มีการใช้ความผันผวนเพื่ออะไร
นักเทรดจะใช้ความผันผวนเพื่อวัดความผันผวนของผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง ความผันผวนของตลาดจะชี้วัดพฤติกรรมราคาของหลักทรัพย์ได้ ซึ่งก็ช่วยประมาณการความขึ้นลงในระยะเวลาสั้นๆ ได้ หากมูลค่าสินทรัพย์ขึ้นๆ ลงๆ เป็นอย่างมาก ก็แสดงว่ามีความผันผวนสูง ในขณะเดียวกัน หาก มูลค่าสินทรัพย์ไม่ ขึ้นๆ ลงๆ มากนัก ก็แสดงว่ามีความผันผวนต่ำ